ทุกคนต่างก็ป่วยเป็นครั้งคราว บางคนป่วยด้วยโรคร้ายแรงหรือโรคเรื้อรัง บางคนป่วยทางใจเป็นโรคซึมเศร้า อาจถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย บางคนป่วยการงานการเงินขัดสนตลอด บางคนคนป่วยความสัมพันธ์กับคนในบ้านหรือที่ทำงาน บางคนป่วยอิสรภาพเพราะติดคุก ถูกผูกมัดด้วยหนี้สิน หรือติดสิ่งเสพติด ฯลฯ คุณรู้ไหมว่าทำไมผู้คนจึงป่วย, แก่ลง, และตาย? วันหนึ่งชายคนหนึ่งซึ่งเดินไม่ได้ถูกพาไปหาพระเยซู และพระเยซูแสดงให้เห็นว่าทำไมผู้คนจึงเจ็บป่วยและตาย ผมจะเล่าให้คุณฟังนะ
พระเยซูพักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในเมืองซึ่งใกล้กับทะเลแกลิลี. ฝูงชนพากันมาหาพระองค์. ผู้คนมากันมากจริง ๆ จนไม่มีที่ให้คนอื่นเข้ามาในบ้านได้. ไม่มีใครเข้าถึงประตูได้ด้วยซ้ำ. กระนั้น ผู้คนก็ยังมากันเรื่อย ๆ! มีชาย 4 คนได้แบกนำชายที่ป่วยเป็นอัมพาตมาหาพระเยซู เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เลย ชายสี่คนจึงต้องใช้แคร่ หรือเปลหามเขามา
คุณรู้ไหมว่าทำไมพวกเขาจึงอยากพาชายที่ป่วยนี้มาหาพระเยซู? นั่นก็เพราะพวกเขารักชายคนนี้ ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของพวกเขา พวกเขามีความเชื่อว่าพระเยซูสามารถช่วยชายคนนี้ได้. ถ้าพวกเขาไม่เชื่อ ก็คงไม่เสียเวลาพยายามแบกแคร่พาชายที่ป่วยเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูสามารถรักษาชายคนนี้ให้หายจากความเจ็บป่วยได้. คุณรู้ไหมว่าพวกเขานำชายที่เป็นอัมพาตมาถึงตัวพระเยซูได้อย่างไร ทั้งๆที่มีผู้คนมากมายแออัดกันอยู่ในบ้านนั้น?
พวกเขาทำอย่างที่คุณเห็นในภาพนี้. ทีแรก พวกเขาหามชายคนนั้นขึ้นไปบนหลังคา หลังคานั้นเป็นหลังคาแบนราบ จากนั้นพวกเขาก็เจาะหลังคาให้เป็นช่องใหญ่ ในที่สุด พวกเขาหย่อนคนป่วยซึ่งนอนอยู่บนเปลผ่านทางช่องนั้นลงไปยังห้องข้างล่าง พวกเขาช่างมีความเชื่อมากจริง ๆ จึงทำให้พวกเขายอมลงทุนเหน็ดเหนื่อยทำเช่นนี้!
บรรดาผู้คนที่อยู่ในบ้านพากันประหลาดใจเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ชายที่เป็นอัมพาตซึ่งนอนอยู่บนเปลนั้นถูกหย่อนลงมาท่ามกลางพวกเขา. พระเยซูโกรธไหมเมื่อพระองค์เห็นพวกเขาทำเช่นนั้น? เปล่าเลย! พระองค์ดีใจที่เห็นพวกเขามีความเชื่อ. พระองค์ตรัสกับชายที่เป็นอัมพาตว่า “บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว” บางคนคิดว่าไม่ถูกที่พระเยซูตรัสเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าพระองค์ไม่สามารถให้อภัยบาปได้. มีแต่พระเจ้าผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์เท่านั้น จึงจะอภัยบาปให้กับมนุษย์ได้ แต่เนื่องจากพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จึงหยั่งรู้ความคิดของมนุษย์ทุกคนได้ พระองค์รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ ดังนั้น เพื่อแสดงว่าพระองค์สามารถให้อภัยบาปได้จริง ๆ พระเยซูจึงตรัสกับชายผู้นั้นว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนไปยังบ้านของตนเถิด.”
เมื่อพระเยซูตรัสเช่นนั้น ชายคนนั้นก็หายโรค! เขาไม่เป็นอัมพาตอีกต่อไป ไม่เพียงแค่หายเป็นอัมพาต แต่ตอนนี้เขาสามารถลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองและเดินได้ แถมยกที่นอนของตัวเองเดินกลับบ้านได้ด้วย! ผู้คนซึ่งได้เห็นการอัศจรรย์ครั้งนี้รู้สึกประหลาดใจ พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างนี้มาก่อนในชีวิต! พวกเขาพากันสรรเสริญพระเจ้าที่ได้ประทานพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า และเป็นพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แก่พวกเขา ผู้ซึ่งถึงกับสามารถรักษาผู้คนให้หายโรคทุกชนิดได้. (มาระโก 2:1-12)
พระเจ้าต้องการบอกอะไรกับเรา จากการอัศจรรย์ในเรื่องนี้? เราเรียนรู้อะไรจากการอัศจรรย์นี้? เราเรียนรู้ว่าพระเยซูมีอำนาจที่จะให้อภัยบาปและรักษาคนป่วยให้หาย. แต่เรายังได้เรียนรู้เรื่องอื่นอีกซึ่งสำคัญมากด้วย. เราเรียนรู้ว่า สาเหตุที่ผู้คนเจ็บป่วยก็เนื่องจาก "ความบาป" เนื่องจากเราทุกคนเจ็บป่วยบ้างเป็นครั้งคราว นี่หมายความว่าเราทุกคนเป็นคนบาปหรือ? ถูกแล้ว! คัมภีร์ไบเบิล
บอกว่า พวกเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับบาป. คุณรู้ไหมว่าการเกิดมาพร้อมกับบาปหมายความอย่างไร? หมายความว่าเราเกิดมาในสภาพที่ไม่สมบูรณ์. บางครั้งเราทำสิ่งที่ผิด แม้ว่าเราไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น
คุณรู้ไหมว่า เราทุกคนเป็นคนผิดบาปได้อย่างไร? เราเกิดมาเป็นคนบาปตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่ เนื่องจากอาดัม มนุษย์คนแรกไม่เชื่อฟังพระเจ้า นิยามของความบาปคือการกบฎไม่เชื่อฟังพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ มนุษย์ทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ ปฎิเสธว่าพระเจ้ามีอยู่จริง จึงไม่คำนึงว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าเห็นด้วยหรือไม่ ? เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยไม่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ทุกคนล้วนมีธรรมชาตินิสัยแบบนี้มาแต่เกิด และเราทุกคนได้รับเชื้อบาปเช่นนี้มาจากอาดัม คุณรู้ไหมว่าเราได้รับสืบทอดเชื้อบาปจากมนุษย์คู่แรกของโลกได้อย่างไร? ผมจะลองอธิบายให้ฟังแบบที่คุณเข้าใจได้ง่ายๆ
เราทุกคนกลายเป็นคนบาปได้อย่างไร?
บางทีคุณอาจเคยช่วยใครทำขนมปัง จะเกิดอะไรขึ้นกับขนมปังถ้าแม่พิมพ์มีรอยบุบ? คุณรู้ไหม? ขนมปังทั้งหมดที่คุณทำด้วยแม่พิมพ์นั้นจะมีรอยบุบแบบเดียวกัน ใช่ไหม? อาดัมและเอวา มนุษย์คู่แรกของโลก เป็นเหมือนแม่พิมพ์นั้น และเราก็เปรียบเหมือนขนมปัง เขากลายเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์เมื่อเขากบฎไม่เชื่อฟังพระเจ้า นั่นก็เปรียบเสมือนมีรอยบุบหรือมีตำหนิ ดังนั้น เมื่อเขามีลูกด้วยกัน ลูกๆของเขาจะเป็นอย่างไร? ลูกของอาดัมทุกคนก็จะมีรอยบุบสื่อต่อกันมาเป็นทอดๆจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะที่ไม่สมบูรณ์อย่างเดียวกันนี้มาโดยตลอด อันเกิดจากเชื้อความบาปของอาดัมเอวานั่นเองที่ถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานจนถึงทุกวันนี้
เด็กๆส่วนมากไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความไม่สมบูรณ์ที่เด่นชัดถึงขนาดที่คุณมองเห็นได้ พวกเขาไม่ได้เกิดมาแบบพิการกันทุกคน แต่ความไม่สมบูรณ์ที่พวกเขามีนั้น ส่งผลร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้พวกเขาป่วย และในที่สุดก็ตาย ยังไม่เคยมีใครสักคนในโลกที่เกิดมาแล้วไม่เจ็บป่วยเลยตลอดชีวิต จนทำให้เราเคยชินกับความเจ็บป่วยและเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดได้กับทุกคน แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์จะสร้างมนุษย์ให้มีความเจ็บป่วยและตาย พระเจ้าต้องการให้มนุษย์อยู่อย่างสุขสบายในสวนเอเดน แต่มนุษย์เลือกที่จะปฎิเสธพระเจ้า กบฎและไม่เชื่อฟังพระเจ้าเอง จึงต้องรับผลความทุกข์จากความเจ็บป่วยและตาย

แล้วทำไมบางคนจึงป่วยบ่อยกว่าคนอื่นล่ะ? มีเหตุผลหลายอย่าง อาจเป็นเพราะพวกเขามีอาหารกินไม่เพียงพอ หรือพวกเขาอาจกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ พวกเขาอาจกินขนมและลูกกวาดมากเกินไปก็ได้ เหตุผลอื่นอีกก็คือ อาจเป็นเพราะพวกเขานอนดึกและนอนหลับไม่เพียงพอ อาจวิตกกังวลปัญหาต่างๆและขาดความวางใจพระเจ้า หรือพวกเขาอาจไม่ได้สวมเสื้อผ้าให้อุ่นก่อนที่จะออกไปเจออากาศหนาวเย็นนอกบ้าน บางคนร่างกายอ่อนแอมาก และพวกเขาไม่อาจต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามดูแลตัวเองแล้วก็ตาม เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะการขาดวินัยในการกินการนอนและการใช้ชีวิต ซึ่งก็เป็นผลมาจากความบาปนั่นเอง (บาปของการทำอะไรตามใจปากตามใจตัวเองเกินสมดุลย์ที่พระเจ้าให้มา หรือขาดการวางใจพระเจ้าเพราะไม่รู้จักพระเจ้า หรือรู้จักแล้วแต่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าว่าพระองค์ช่วยได้)
สำหรับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สูงสุดแล้ว ไม่ว่าเราจะทำบาปเล็กหรือบาปใหญ่ มันก็คือบาป! คุณอาจพูดโกหกเล็กๆในบางครั้ง แต่เพียงครั้งเดียวในชีวิตคุณ คุณก็บาปแล้ว! คุณจะทำความดีแค่ไหนก็ไม่สามารถลบบาปนั้นได้เลย เปรียบเสมือนเอายาพิษหยดเล็กๆเพียงหยดเดียวใส่ในแก้วน้ำสะอาด น้ำนั้นก็กลายเป็นพิษทั้งหมดทันที แม้คุณจะพยายามเทน้ำสะอาดเข้าไปอีก ก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำนั้นหายจากการเป็นพิษ!
พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถกำจัดเชื้อบาปนี้ด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าจะพยายามฝึกตัวเองแค่ไหนก็ตาม เพราะเพียงแค่ผิดพลาดครั้งเดียว ชีวิตก็ขาดความบริสุทธิ์แล้ว! พระเจ้ารักและเมตตาสงสารมนุษย์ รู้ในความจำกัดของมนุษย์ พระองค์จึงมีทางออกให้ โดยส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมาจากสวรรค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และถูกตรึงตายอย่างทรมาน เพื่อรับโทษจากบาปแทนเรา ทำให้เราได้รับการไถ่ออกจากบาปและผลของบาป เมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นในวันที่สาม เอาชนะความบาปและความตายได้ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูก็จะได้รับชีวิตใหม่กับพระองค์ด้วย คือชีวิตใหม่ที่ได้รับการไถ่จากบาปแล้ว
ถ้าเราแสดงให้พระองค์เห็นว่า เราเชื่อและยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไม่สมบูรณ์ เป็นคนบาปมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน แม้จะไม่อยากทำบาปแต่ก็ยังเผลออยู่เรื่อยๆ (เราสำนึกผิด) และแสดงต่อพระองค์ว่า เราเกลียดสิ่งที่เราทำผิดทำบาป (สารภาพบาป) อย่างจริงใจ ถ่อมใจยอมรับว่า การพยายามฝึกตัวเองให้บริสุทธิ์ของเรานั้น ไม่ได้ช่วยให้พิษของบาปหายไปจากเราหมดสิ้นได้ ถ้าเราเชื่อเช่นนี้ พระเยซูจะรักษาเราให้หาย ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคอะไร ป่วยร่างกาย ป่วยจิตใจ ป่วยการเงิน ป่วยความสัมพันธ์ ฯลฯ ด้วยพระคุณความรักของพระองค์ เราจะหายโรคอย่างอัศจรรย์!
และถ้าเราตัดสินใจต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิต พระองค์ก็จะเข้ามาสถิตกับเรา และค่อยๆช่วยเราให้ดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะเหนือบาปได้ ถ้าพลาดพลั้งทำบาปอีก ก็ให้ไวต่อการสำนึกผิด สารภาพและกลับใจใหม่อย่างจริงใจ พระองค์จะอภัยให้ทุกครั้งและจะสอนเราให้เริ่มต้นใหม่ในการพึ่งพาพระองค์ เราจะไม่ได้พึ่งตัวเองอีกต่อไปในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ แต่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และพระเจ้าจะคอยช่วยเราไปตลอดชีวิต และเมื่อเราหมดเวลาบนโลก พระองค์จะรับเราไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ พระเยซูจึงมีฉายาว่า "พระผู้ช่วยให้รอด" หรือ "พระเมสิยาห์" นั่นเอง!
คุณต้องการให้พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการ“ส่วนตัว” ของคุณหรือไม่? หลายคนมองว่าการเป็นคริสเตียนคือการไปโบสถ์ การไปทำพิธีทางศาสนา, การสารภาพบาป การพยายามละเว้นการทำบาป แต่นั่นไม่ใช่การเป็นคริสเตียน การเป็นคริสเตียนที่แท้จริงคือการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ การต้อนรับพระเยซูเข้ามาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณหมายความว่า คุณเชื่อและวางใจในพระองค์เป็นการส่วนตัว คุณต้องเชื่อด้วยตัวคุณเอง ไม่มีใครรอดพ้นจากความบาปได้จากความเชื่อของคนอื่น!
ไม่มีใครสามารถได้รับการยกโทษบาปของตนเองได้ด้วยความเชื่อของคนอื่น ทางเดียวที่คุณสามารถรอดได้คือ การต้อนรับพระเยซูเข้ามาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของคุณเป็นการส่วนตัว และเชื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์คือการไถ่บาปให้กับคุณ และการฟื้นคืนพระชนม์คือการรับประกันว่าคุณจะได้รับชีวิตนิรันดร์และไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์เมื่อหมดเวลาบนโลก (ยอห์น 3:16) วันนี้ คุณต้องการให้พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณหรือยัง?
หากคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวของคุณ ขอให้คุณอธิษฐานดังนี้กับพระเจ้า แต่จงจำไว้ว่า การอธิษฐานด้วยถ้อยคำเหล่านี้หรือถ้อยคำอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยให้คุณรอดจากความบาป การวางใจในพระคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้คุณรอดได้ คำอธิษฐานนี้เป็นเพียงแต่วิธีง่าย ๆ ในการแสดงออกต่อพระเจ้าว่าคุณเชื่อในพระองค์ และเป็นการขอบคุณพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมความรอดไว้ให้คุณ
“ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอยอมรับว่า ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน ลูกได้เคยกระทำผิดบาปต่อพระองค์ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม และสมควรที่จะได้รับโทษ แต่พระเยซูคริสต์ทรงทนทุกข์ทรมานถึงตายบนกางเขน เพื่อรับโทษที่ลูกสมควรจะได้รับแทนลูกไปแล้ว และโดยความเชื่อในพระองค์ ลูกจึงได้รับการยกโทษตามพระสัญญาของพระองค์ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกขอหันหลังให้กับความบาปของลูก และขอต้อนรับพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับลูก ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่่วนตัวของลูก! ขอบคุณสำหรับพระคุณและการให้อภัยบาปอันแสนอัศจรรย์ของพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับจากพระองค์! ลูกขออธิษฐานด้วยความเชื่อ ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์ อาเมน!”
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ดุสิต (เล็ก)
หมายเหตุ : เนื้อหาจากบทความนี้ บางส่วนอ้างอิงจากบทความเชิงประกาศหลายๆบทความ ที่ได้มีผู้คนนำเสนอในเว็บไซต์ต่างๆทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ขอพระเจ้าอวยพรเจ้าของบทความต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทความนี้ครับ
#พระกิตติคุณ #พระเยซูคริสต์ #พระผู้ช่วยให้รอด #พระเมสิยาห์ #ความบาป #สารภาพบาป #ความรอด #พระคุุณพระเจ้า #ความรักของพระเจ้า